วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

ความสัมพันธ์ไทย-โปรตุเกส


  
  
                                      ความสัมพันธ์ไทย – โปรตุเกส

            

ความสัมพันธ์ไทย – โปรตุเกส 
ชาติแรกที่เข้ามาติดต่อกับสยามในสมัยกรุงศรีอยุธยา แม้โปรตุเกสจะเป็นประเทศเล็กๆในยุโรป และปัจจุบันจะไม่ใช่ประเทศที่ยิ่งใหญ่หรือโดดเด่นมากเท่าประเทศในยุโรปประเทศอื่นๆแต่ในอดีตโปรตุเกสมีความเจริญทั้งวัฒนธรรม วิทยาการและการค้า ที่สำคัญคือเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์กับไทยมายาวนานถึง 5 ศตวรรษจึงมีร่องรอยปรากฎเป็นหลักฐานรวมถึงเรื่องใกล้ตัวที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงหรือหลงลืมไป

สมัยกรุงศรีอยุธยา ในช่วงเริ่มต้น โปรตุเกสเข้ามาดินแดนแถบนี้ ด้วยเรือสำเภา ที่เรียกว่า เนา (Nao/Nau) หรือ เรือแกลเลียน (Galleon) จุดมุ่งหมายสำคัญ คือ การตามหาเครื่องเทศ แต่ก็มิใช่เพียงการค้าเพียงอย่างเดียว ในด้านการเดินทางนี้ ก็ถูกรองรับด้วยเหตุผลทางศาสนาด้วย ในยุคที่มีการล่าอาณานิคมอย่างต่อเนื่อง ปีค.ศ.1511 กองทัพเรือโปรตุเกสต้องการยึดครองมะละกาด้วยความมั่งคั่งของมะละกาและความต้องการที่จะขยายผลทางการค้า หลังจากโปรตุเกสได้ขยายอำนาจมาถึงมะละกาซึ่งเคยอยู่ภายใต้การปกครองของอยุธยามาก่อน โปรตุเกสเกรงจะเกิดปัญหาบาดหมางในภายหลังและหวังจะกดดันมะละกาจึงได้ส่งราชทูตพร้อมเครื่องราชบรรณาการเจริญสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรรอบข้าง Alfoso d'Alboquerque อุปราชโปรตุเกสประจำภาคตะวันออกได้ส่งทูตคนแรกคือ Duarte Fernandez
 เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาเพื่อขอเจริญสัมพันธไมตรีกับพระมหากษัตริย์ไทยซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าการเข้ามายังสยามนั้นมิได้มีเจตนาจะเป็นปฏิปักษ์ แม้การเข้ามาสยามของชาติยุโรปอย่างโปรตุเกสในยุคที่ชาติตะวันตกออกล่าอาณานิคม ทำให้เกิดข้อกังขาว่าโปรตุเกสอาจประสงค์ยึดดินแดนสยาม แต่เมื่อพิจารณานโยบายทางการเมืองของโปรตุเกสพบว่าโปรตุเกสมีประสงค์ในการทำการค้ามากกว่ายึดสยามเป็นเมืองขึ้น โดยต้องการผูกขาดการค้าเครื่องเทศจากสยาม ต้องการตั้งโกดังสินค้ารวมทั้งต้องการเผยแผ่คริสต์ศาสนาในสยามอย่างอิสระ ในขณะเดียวกันสยามก็มุ่งหวังได้โปรตุเกสเป็นพันธมิตรมหาอำนาจตะวันตกและช่วยเสริมกำลังให้กองทัพด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยซึ่งโปรตุเกสได้ช่วยเหลือสยามทั้งด้านอาวุธยุทโธปกรณ์และการสร้างเสริมกองทัพให้แข็งแกร่งขึ้นซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสยามมากในยุคที่บ้านเมืองมีการรบพุ่งกันตลอดเวลา นับจากนั้นเป็นต้นมา 
ประวัติศาสตร์แห่งมิตรไมตรีระหว่างไทย และโปรตุเกสก็เริ่มต้นขึ้นและงอกงามมีชาวโปรตุเกสหลายคนเลือกมาตั้งถิ่นฐานในแผ่นดินสยาม พวกเขาเริ่มตั้งรกรากที่กรุงศรีอยุธยาโดยชาวโปรตุเกสที่เข้ามานั้นมีทั้งคนที่มีทักษะทางการค้า มีทักษะด้านการทหาร และมีบางคนที่ทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนา เข้ามาช่วยเหลือชุมชนชาวคริสต์ ต่อมาสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 13 แห่งกรุงศรีอยุธยาได้พระราชทานที่ดินแก่ชาวโปรตุเกสที่อาศัยอยู่ในพระนครศรีอยุธยาซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า "บ้านโปรตุเกส" 

สมัยกรุงธนบุรี หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกในปี2310 ชาวยุโรปจำนวนมากได้หนีไปยังกัมพูชา เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีได้สถาปนากรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรขึ้นในปีพุทธศักราช2313 บาทหลวงกอร์ชาวฝรั่งเศสได้นำชาวยุโรปที่หนีไปยังกัมพูชาครั้งกรุงแตกมาเข้าเฝ้าพึ่งพระบรมโพธิสมภาร พระเจ้ากรุงธนบุรีต้อนรับเป็นอย่างดีและได้ยกที่ดินสร้างวัดซางตาครู้ส  ในสมัยกรุงธนบุรี ชาวโปรตุเกสมีเมืองขึ้นบริเวณแถบเมืองกัว เมืองสุรัต และได้ทำการติดต่อค้าข้ายสินค้าจำพวกปืนไป เกราะทหาร สินค้าทันสมัยของตะวันตกและของอินเดียตะวันตก เมื่อมีคณะพ่อค้าโปรตุเกสจากเมืองกัว เมืองสุรัต มาค้าขายที่กรุงธนบุรี ทางการไทยก็ได้มีการแต่งสำเภาหลวงไปค้าขายถึงเขตเมืองกัวเมืองสุรัต โดยนำเอาของป่าพวกไม่กฤษนา ไม้ฝาง งาช้าง เขา-หนังสัตว์ไปค้าขายด้วย 







สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 15 ปีต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พุทธศักราช 2325 พระราชทานนามของพระนครหลวงว่า "กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุทธยา มหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมารอวตารสถิต สักกะทัตติยะ วิษณุกรรมประสิทธิ์” มีความหมายโดยรวมว่า "เมืองเเห่งเทวดา" ชาวสยามยุคนั้นไม่สนใจการติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตกนัก เพราะไม่เห็นประโยชน์ที่จะได้รับ ชาวอังกฤษไม่พอใจที่สยามมีการหักภาษี จึงส่งนายจอห์น ครอว์เฟิร์ดทำให้มาขอทำสัญญาพยายามให้ไทยยกเลิกการผูกขาดของพระคลังสินค้า แต่ทางเราปฏิเสธกลับไป จนกระทั่งโปรตุเกสได้ส่งทูตชื่อ อันโตนิโอ เดอ วีเสนท์ (Antonio de Veesent) คนทั่วไป เรียกว่า “องตนวีเสน” เป็นอัญเชิญพระราชสาสน์กษัตริย์โปรตุเกสจากกรุงลิสบอนมายังสยาม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้การต้อนรับและทรงให้อันโตนิโอเข้าเฝ้า ทางการสยามได้มีพระราชสาสน์ตอบมอบให้อันโตนีโอเป็นผู้อัญเชิญกลับไป ในสมัยล้นเกล้ารัชการที่ 2 ความสัมพันธ์กับโปรตุเกสรุ่งเรืองอย่างมาก ได้มีการส่งเรือกำปั่นชื่อ มาลาพระนคร โดยมีหลวงสุรสาครเป็นนายเรืองคุมเรือออกไปค้าขายกับโปรตุเกสที่เมืองมาเก๊า และมีการเจริญสัมพันธไมตรี ซึ่งชาวสยามก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ทำให้การ์ลูส มานูเอล ดา ซิลเวย์รานำเครื่องราชบรรณาการและพระราชสาสน์ของกษัตริย์โปรตุเกสมาถวายล้นเกล้ารัชกาลที่ 2 เพื่อขอเจริญสัมพันธไมตรี ไทยก็ให้การต้อนรับอย่างดี เพราะเห็นว่าโปรตุเกสช่วยอำนวยความสะดวกแก่เรือกำปั่นหลวงที่เดินทางไปค้าขายที่มาเก๊าในครั้งก่อน รวมทั้งไทยยังต้องการซื้อปืนคาบศิลาจากโปรตุเกสเอาไว้ใช้ป้องกันพระนครด้วยจึงยินดีที่จะเป็นมิตรกับโปรตุเกส ทางโปรตุเกสก็ได้จัดซื้อให้ถึง 400 กระบอก ปีพุทธศักราช 2363 ผู้สำเร็จราชการโปรตุเกส ณ เมืองกัว ในอินเดีย ได้ร่างสัญญาทางพระราชไมตรีในนามของกษัตริย์โปรตุเกส มอบให้การ์ลูส มานูเอล ดา ซิลเวย์ราเข้ามาถวาย โดยใจความขอให้ การ์ลูส มานูเอล ดาซิลเวียรา เป็นกงสุลโปรตุเกสประจำกรุงเทพมหานคร ซึ่งล้นเกล้ารัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ พระราชทานตามที่ขอ พร้อมแต่งตั้งให้ซิลเวย์รามีบรรดาศักดิ์เป็น “หลวงอภัยพาณิช”หลังจากที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ 2ได้มีพระราชานุญาติให้ตั้งสถานกงสุลโปรตุเกสขึ้นในไทย มีการปักธงโปรตุเกสที่กงสุล ต่อมาภายหลังสถานกงสุลนี้ได้รับฐานะเป็นสถานทูต นับเป็นสถานทูตต่างชาติแห่งแรกในไทย ตลอดรัชกาลที่ 3 ก็ยังคงเป็นความสัมพันธ์ทางการฑูตและการติดต่อค้าขาย ซึ่งก็มีปริมาณการค้าไม่มากนักเนื่องจากค้าขายขาดทุนที่ทำการค้าสู้อังกฤษไม่ได้ แต่ก็ยังมีความสัมพันธ์อันดีเรื่อยมา รัชกาลที่ 4 ขึ้นครองราชย์ มีพระราชประสงค์จะทำสนธิสัญญากับโปรตุเกส เพื่อสถาปนาสัมพันธ์ไมตรีและการค้าที่ขาดตอนไป หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์ ในปี ค.ศ. 1897 พระองค์เสด็จประพาสยุโรป และได้เสด็จฯ เยือนกรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ต่อมาในปี ค.ศ. 1960 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินประพาส ณ กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส 

หลักฐานที่ค้นพบเกี่ยวกับชาวโปรตุเกส                                                                                             


  


หมู่บ้านโปรตุเกส
            ได้ก่อกำเนิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2083 ตามพระราชโองการของพระไชยราชาธิราช พระราชทานที่ดินให้ตั้งหมู่บ้านขึ้นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยานอกกำแพงเมืองด้านทิศใต้ เพื่อเป็นบำเหน็จความดีความชอบของชาวโปรตุเกส จำนวน 120 คน ที่เข้ารับราชการเป็นทหารอาสาเข้าร่วมรบในสงครามเมืองเชียงกรานจนได้รับชัยชนะ ชาวโปรตุเกสได้สร้างโบสถ์เพื่อประกอบพิธีทางศาสนาในนิกายโรมันคาทอลิก จำนวน 3 แห่งด้วยกัน ได้แก่ 1.โบสถ์คณะโดมินิกัน 2.โบสถ์คณะยูเซอิต 3.โบสถ์คณะฟรานซิสกัน
       หมู่บ้านชาวโปรตุเกสที่พระนครศรีอยุธยา มีอายุได้ 227 ปี จึงได้ถูกทิ้งร้างไปพร้อมๆ กับพระนครศรีอยุธยาถูกพม่าทำลาย เมื่อ พ.. 2310 ในปี พ.ศ. 2527 มูลนิธิกุลเบงเกียน (FUNDAçÃO CALOUSTE GULBENKIAN) ประเทศโปรตุเกส ได้มอบทุนจำนวนหนึ่งให้กรมศิลปากรดำเนินการขุดแต่ง บูรณะ ปรับปรุงโบราณสถาน ณ หมู่บ้านโปรตุเกส ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลสำเภาล่ม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา


หลักฐานที่ได้จากการขุดแต่ง
              จากการขุดแต่งโบราณสถานบ้านนักบุญเปโตร (โบสถ์คณะโดมินิกัน) พบหลักฐานทางด้านสถาปัตยกรรมในสมัยนั้น โบราณวัตถุ พบโครงกระดูกมนุษย์จำนวนมากมาย นอนเรียงรายอย่างเป็นระเบียบและไม่เป็นระเบียบ โดยถูกฝังสลับซับซ้อนกันอย่างหนาแน่นในชั้นดินที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ไม่ต่ำกว่า 200 โครง จึงไม่อาจจะปฏิเสธถึงความเป็นสุสานของโบสถ์โดมินิกันแห่งนี้ได้



สุสานและสถานภาพของผู้ตาย
               จากลักษณะของการฝังศพ อาจพอสรุปได้ว่าขอบเขตที่ฝังศพและสถานภาพของผู้ตาย สรุปได้ดังนี้คือ
               ตอนที่ 1 เป็นตอนที่อยู่ในสุด ฝังอยู่ในแนวเดียวกันอย่างเป็นระเบียบ ส่วนใหญ่จะหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก หรือหันศีรษะเข้าสู่แท่นที่ประดิษฐ์รูปเคารพภายในโบสถ์ จากลักษณะดังกล่าว สันนิษฐานว่าโครงกระดูกเหล่านี้เป็นของบาทหลวงหรือนักบวชที่เสียชีวิตในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน จากการสัมภาษณ์บาทหลวงในคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก ให้ข้อสังเกตที่พอจะสรุปฐานะของโครงกระดูกว่าเป็นโครงกระดูกของบาทหลวง โดยให้เหตุผลว่า ศพของบาทหลวงจะถูกฝังอยู่ในลักษณะเดิมที่เคยปฏิบัติอยู่สมัยเมื่อยังมีชีวิต บาทหลวงเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอยู่ที่หน้าพระแท่น ย่อมต้องยืนหันหน้าออกสู่พวกสัตตบุรุษเสมอ เมื่อเสียชีวิตจะถูกฝังในลักษณะที่หันหน้าสู่สัตตบุรุษเช่นเดียวกัน
               ตอนที่ 2 อยู่ถัดมาจากส่วนที่ใช้สำหรับฝังศพบาทหลวงมาทางทิศตะวันออก การฝังศพในส่วนนี้มีการกำหนดขอบเขตที่แน่นอน ด้วยการนำอิฐขนาดใหญ่และหนากว่าอิฐที่ใช้ในการก่อสร้างมาวางเรียงกันเป็นกรอบโดยรอบ เพื่อแสดงขอบเขตการฝังที่แน่นอน แม้จะพบต่อมาภายหลังว่ามีการฝังทับซ้อนกันในบริเวณเดียวกันก็ตาม ศพที่ถูกฝังอยู่ในส่วนนี้อาจจะเป็นศพที่มีฐานะในสังคมของชาวค่ายโปรตุเกสสูงกว่าคนธรรมดาทั่วๆไป               
               ตอนที่ 3 คือส่วนที่อยู่นอกไปจากแนวฐานของโบสถ์ พบว่ามีการฝังทับซ้อนกันมากจนผิดปกติ บางหลุมแสดงให้เห็นว่ามีการฝังซ้อนกัน 3 – 4 โครง ในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้จากการขุดค้นพบว่ามีชิ้นส่วนโครงกระดูกที่ถูกขุดขึ้นมาทับถมไว้กับโครงที่เพิ่งฝังลงไปทีหลังด้วย

   








หลังจากการขุดค้นเสร็จสิ้นลง พบว่ามีโครงกระดูกที่ถูกฝังอยู่ในบริเวณสุสานแห่งนี้มากกว่า 200 โครง และมีอยู่จำนวนหนึ่งที่ศพถูกฝังในเวลาที่ใกล้เคียงกันหรือในเวลาเดียวกันเลยทีเดียว เพราะในบางหลุมพบโครงกระดูกฝังซ้อนกันถึง 3 – 4 โครง มีอะไรเกิดขึ้นกับชาวโปรตุเกสในเวลานั้น จนทำให้จำนวนชาวค่ายโปรตุเกสลดลงอย่างรวดเร็วศพแล้วศพเล่าที่ถูกฝังลงในสุสานแห่งนี้ ความตายของชาวค่ายโปรตุเกสในเวลานั้นสอดคล้องกับจดหมายของบาทหลวงปิ่นโตและพงศาวดารไทยที่กล่าวว่า ในปลายปี พ.ศ. 2239 ได้เกิดโรคระบาด (ไข้ทรพิษ) อย่างร้ายแรงในพระนครศรีอยุธยา โดยมีอัตราการตายโดยเฉลี่ย 42 ศพ ต่อวัน จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น ชาวค่ายโปรตุเกสคงจะหลีกเลี่ยงการระบาดไม่พ้นเช่นกัน เพราะจากการขุดค้นพบว่ามีการใส่ปูนขาวพอกทับบนศพด้วย เพราะเชื่อกันว่า ปูนขาวนี้ช่วยระงับการแพร่เชื้อของโรคระบาดได้อย่างไรก็ตามจากหลักฐานทางเอกสารนั้น ไม่สามารถหาข้อสรุปที่แน่นอนได้ว่า ชาวค่ายโปรตุเกสตายด้วยโรคระบาดในครั้งนั้นด้วยหรือไม่ จนกว่าจะนำโครงกระดูกเหล่านั้นมาทำการวิเคราะห์ที่ห้องปฏิบัติการเพื่อจะได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง





สานสัมพันธ์สองแผ่นดินไทย-โปรตุเกส 
การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม 1.ด้านศาสนา การที่โปรตุเกสเข้ามาในประเทศไทยนอกจากที่จะมาค้าขายแล้วยังนำศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่อีกด้วย เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกในปี2310 บาทหลวงกอร์ได้นำชาวโปรตุเกสและชาวยุโรปมาเข้าเผ้าพระเจ้ากรุงธนบุรี พระองค์ได้พระราชทานให้สร้างโบสถ์ซางตาครู้ส คริสต์ศาสนาที่เข้ามาในไทยนั้นส่วนใหญ่เป็นโปรตุเกส มีคณะโกมินิกัน ฟรานซิส และ ซูอิส ในสมัยนั้นไทยไม่ได้กีดกันทางศาสนา นอกจากนี้คณะเผยแพร่ศาสนายังได้นำเอายาจากตะวันตกเข้ามาแพร่หลายในไทยอีกด้วย 
2.ด้านอาหาร ไทยเราได้รับวัฒนธรรมอาหารจำพวกของหวานมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว และเป็นที่นิยมจนกระทั่งปัจจุบัน ขนมหวานของไทยที่ได้รับอิทธิพลจาก วัฒนธรรมโปรตุเกส คือ ทองหยิบ ฝอยทอง ทองหยอด บ้าบิ่น ลูกชุบ ขนมผิง ทองม้วน ขนมหม้อแกง ขนมไข่ กระหรี่ปั๊บ Trouxos das caldas คือ ต้นตำรับของขนม ทองหยิบ Fios de Ovos คือ ขนมฝอยทอง Queijadas de Coimbra เป็นต้นตำรับ ขนมบ้าบิ่น ของไทย ซึ่งใช้เนยแข็ง แต่ในบ้านเราใช้มะพร้าวแทนสำหรับ ลูกชุบ เป็นขนมประจำถิ่นโปรตุเกส แพร่หลายมาถึงย่านเมดิเตอร์เรเนียนแถบฝรั่งเศสตอนใต้ เช่น เมืองนีซ เมืองคานส์ ก็มีขนมลูกชุบมากมายทั้งเมือง ลูกชุบในภาษาโปรตุเกส Massapa'es โดยโปรตุเกสใช้เม็ด อัลมอนด์ เป็นส่วนผสมสำคัญ แต่บ้านเราไม่มี จึงต้องคิดด้วยการใช้ ถั่วเขียว เป็นต้น
 3.ด้านการทหาร อิทธิพลทางการทหาร เราได้ซื้ออาวุธชนิดใหม่ๆมากมายมาจากโปรตุเกส อาทิ ปืนไฟ ปืนคาบศิลา นอกจากนี้เครื่องยศทหารในสมัยรัตโกสินทร์ก็ได้มีการนำเครื่องยศแบบโปรตุเกสมาใช้ ทำให้เครื่องแบบเต็มยศของทหารไทยมีลักษณะแบบเครื่องแบบทหารยุโรป



ขอขอบคุณข้อมูลจาก


http://www.ayutthayastudies.aru.ac.th/content/view/150/32/

http://prachatai.com/category/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น