วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

สงครามอิรัก



                                                                                                   สงครามอิรัก
                                                                                          


     บทนำ

       ตะวันออกกลางนับเป็นดินแดนภูมิภาคหนึ่งที่เกิดปัญหาความขัดแย้งที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของโลกอย่างต่อเนื่อง ทำให้สหรัฐฯ และประเทศมหาอำนาจตะวันตก พยายามเข้าไปมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาซึ่งรวมถึงการเข้าไปแสวงประโยชน์จากทรัพยากรน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของโลกหลังสงครามโลกครั้งที่  สหรัฐฯได้เข้าไปมีบทบาทด้านการทหารกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้มากขึ้น เช่นในปี ๒๕๒๒ ได้สนับสนุนประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำอิรักเพื่อคานอำนาจโคไมนีของอิหร่าน จนเกิดสงครามระหว่างอิรักกับ อิหร่าน ในปี ๒๕๒๓ และเป็นผลทำให้อิรักมีศักยภาพทางทหารสูงขึ้น และมุ่งพัฒนากองทัพ
และเทคโนโลยีทางทหารอย่างต่อเนื่อง




                                                                                      ภูมิภาคตะวันออกกลาง


ปี ๒๕๓๓อิรักได้ใช้กำลังทหารเข้ายึดคูเวต ทำให้สหรัฐฯ และประเทศพันธมิตร ต้องใช้กำลังทหารผลักดันทหารอิรักออกจากคูเวต 
จนเกิดสงครามอ่าวครั้งที่  คือในปี ๒๕๓๔ ภายใต้ยุทธการพายุทะเลทราย (Desert Strom) ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากสหประชาชาติและประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามทั่วโลก หลังจากการพ่ายแพ้สงคราม ในปี ๒๕๓๔ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้มีมติใช้มาตรการคว่ำบาตร ทางเศรษฐกิจต่ออิรัก และให้อิรักทำลายอาวุธที่มีอำนาจในการทำลายล้างสูงรวมทั้งขีปนาวุธระยะไกล ไม่แสวงหาหรือพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ จัดตั้งเขตปลอดทหาร และจัดคณะผู้ตรวจสอบอาวุธของสหประชาชาติเข้าไปตรวจสอบอาวุธร้ายแรงของอิรักแต่ในห้วงเวลา ๑๒ ปี ที่ผ่านมา อิรักละเมิดมติสหประชาชาติมาโดยตลอด และสหรัฐฯยังเชื่อว่ามาตรการทางการทูตด้วยวิธีการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ (Economic Sanctions) เป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้ผลกับอิรัก หรือในกรณีการตรวจสอบอาวุธที่มีอำนาจการทำลายล้างสูงก็เช่นเดียวกัน อิรักจะใช้วิธีหลบหลีกประวิงเวลา แสดงอาการไม่ให้ความร่วมมือ และคณะผู้ตรวจสอบอาวุธเข้าไม่ถึงหลักฐานที่เป็นจริงของโครงการอาวุธของอิรัก ทำให้ อิรักยังมีขีดความสามารถในการพัฒนาระบบอาวุธร้ายแรง (Weapons of Mass Destruction: WMD) ซึ่งได้แก่ อาวุธนิวเคลียร์ เคมีและชีวภาพ

 มูลเหตุของสงคราม
               เมื่อ ๑๑ ก.ย. ๒๕๔๔ ได้เกิดการก่อวินาศกรรมทำลายอาคาร World Trade Center และอาคาร Pentagon ที่ตั้งกห.สหรัฐฯทำให้สหรัฐฯประกาศทำสงครามกับประเทศที่ให้การสนับสนุนการก่อการร้าย โดยเริ่มปฏิบัติการในอัฟกานิสถานเป็นประเทศแรก แม้จะประสบผลสำเร็จ ในการล้มล้างต่อระบอบตอลีบัน แต่ก็ยังไม่สามารถจับกุม นายโอซามา บินลาเดน และทำลายเครือข่ายกลุ่มอัลกออิดะห์
ที่กระจายไปทั่วทุกภูมิภาค ทำให้สหรัฐฯมุ่งประเด็นไปยังประเทศที่สนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายอื่น ๆ อาทิ อิรัก อิหร่าน ลิเบีย ซีเรีย ซูดาน เกาหลีเหนือ และคิวบา
               หลังจาก ๑๑ ก.ย. ๒๕๔๔ เป็นต้นมา สังคมโลกได้สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเฉพาะสังคมอเมริกา และโลก  ตะวันตก เมื่อลัทธิ บินลาเดน ซึ่งเปรียบเสมือนความคิดแห่งอนาธิปไตยใหม่ ต่อต้านสหรัฐ ฯ และแนวทางจัดระเบียบโลกใหม่ตามความคิดตะวันตก จึงนำเอารูปแบบการต่อสู้แบบดั้งเดิม คือการก่อการร้าย ที่มุ่งหวังจะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง ด้วยการพัฒนารูปแบบ
ของสงครามก่อการร้าย ที่มีองค์ประกอบของกลยุทธ์อยู่เหนือจินตนาการ และอาศัยจุดอ่อนสังคมเปิดของตะวันตก มาเป็นเครื่องมือในการทำร้ายคนอเมริกาและพันธมิตร ความเจ็บปวด ความสูญเสีย และความหวาดผวาจากภัยก่อการร้าย สร้างความกังวลให้คนอเมริกา และประชาคมโลกให้อยู่ในภาวะที่ไม่มั่นคงปลอดภัย จากการก่อการร้ายทั้งๆที่มิได้อยู่ในวงสัมพันธ์ของความเกลียดชังระหว่างชาวอเมริกัน ชาวตะวันตก และชาวยิว กับกลุ่มอาหรับมุสลิมอุดมการณ์รุนแรง จากความหวาดผวานี้นำความรู้สึกนึกคิดย้อนไปสู่กลุ่มประเทศที่สร้างอดีตอันขมขื่นให้กับสหรัฐฯโดยตรง ทั้งในปัจจุบันยังแสดงท่าทีต่อต้านสหรัฐ ฯ ทั้งทางตรงและทางอ้อม จนประธานาธิบดีบุช ประกาศชัดเจนว่าเป็นกลุ่มแกนนำแห่งความชั่วร้าย ได้แก่ อิรัก อิหร่าน และเกาหลีเหนือ และประเทศเหล่านั้น อาจจะร่วมมือกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่มีอยู่มากมายหลายกลุ่ม โดยเน้นไปที่ประเทศอิรัก ในการเปิดฉากสงครามอ่าวครั้งที่ ๒ สหรัฐฯและอังกฤษ อ้างว่าพวกตนทำสงครามอย่างถูกต้องตามกฎหมายภายใต้มติปี ๒๕๓๔ ที่สั่งให้ประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซ็น ต้องปลดอาวุธ นอกจากนั้นสหรัฐฯ ยังให้เหตุผลว่าอาวุธในครอบครองของประธานาธิบดี ซัดดัม เป็นภัยร้ายแรงมากพอที่จะทำให้สหรัฐฯมีสิทธิชิงลงมือก่อนได้ อีกทั้งรัฐบาลกรุงวอชิงตันยังระบุว่าประธานาธิบดี ซัดดัม ให้ที่พักพิงแก่ผู้ก่อการร้ายอัลไกดาซึ่งเท่ากับว่าอิรักเกี่ยวพันกับการโจมตีอาคาร
 World Trade Center เมื่อวันที่ ๑๑ ก.ย. ๒๕๔๔ ด้วย อย่างไรก็ตามสมาชิกมนตรีความมั่นคงชาติอื่น ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมนี และรัสเซียไม่เห็นด้วยกับคำอธิบายทั้งหลายของสหรัฐฯ พร้อมชี้แจงว่าคณะผู้ตรวจสอบอาวุธกำลังปฏิบัติหน้าที่ไปด้วยดี ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่า อิรักมีความสัมพันธ์กับอัลไกดา ก็ยังไม่ชัดเจน นอกจากนั้นมติฉบับเก่าๆ ก็ไม่ได้ให้อำนาจในการดำเนินการทางทหาร หากมองไปที่อิรัก จะพบว่าคณะมนตรีความมั่นคงได้ออกมติ ๑๗ ฉบับ ตั้งแต่สิ้นสุดสงครามอ่าวเปอร์เซียเรียกร้องให้อิรักร่วมมือในการปลดอาวุธ แม้สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงเห็นพ้องกันว่าแบกแดดท้าทายสหประชาชาติแต่หลายชาติไม่เชื่อว่าอิรักจะเป็นภัยคุกคามยิ่งใหญ่ สำหรับมติฉบับล่าสุด ๑๔๔๑ ที่ผ่านไปเมื่อเดือน พ.ย.๒๕๔๕ กำหนดให้อิรักร่วมมือกับคณะผู้ตรวจสอบอาวุธ พร้อมระบุว่าอิรักจะเผชิญผลพวงที่ร้ายแรง หากคณะมนตรีความมั่นคงตัดสินใจว่ารายการอาวุธที่อิรักยื่นมาไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง รวมถึงกรณีที่ อิรักไม่ยอมให้ความร่วมมือกับคณะผู้ตรวจสอบ ในส่วนนี้สหรัฐฯประกาศว่า อิรักละเมิดเนื้อหาในมติ ๑๔๔๑ ขณะที่คณะมนตรีความมั่นคงยังไม่ได้ลงความเห็นเช่นนั้นอีกทั้งมติยังไม่ได้ระบุว่าอิรักจะเผชิญผลลัพธ์ในรูปแบบใด แต่สหรัฐฯและอังกฤษกล่าวว่าในฐานะหนึ่งในสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคง พวกเขามีสิทธิในการตัดสินใจด้วยตนเอง การตัดสินใจดังกล่าวนำไปสู่การใช้ปฏิบัติการทางทหารในเวลาต่อมา
                        

                                                                             ลำดับเหตุการณ์
๒๑พ.ย.๒๕๔๔
หลังเปิดศึกอัฟกานิสถานได้ไม่นาน ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้กล่าวว่า "อัฟกานิสถานเป็นแค่จุดเริ่มต้นของสงครามต่อต้านการก่อการร้าย เราจะไล่จัดการพวกชั่วร้ายไปทั่วโลกตลอดอีกหลายปี" และยังระบุว่า เกาหลีเหนือ อิหร่าน และอิรัก เป็น "อักษะแห่งความชั่วร้าย" ถ้าจำเป็น สหรัฐฯจะเปิดฉากโจมตีผู้ก่อการร้ายและรัฐบาลที่ช่วยเหลือคนเหล่านั้นก่อนเพื่อปกป้องอเมริกา


๑๐ต.ค๒๕๔๕ 
สภาสหรัฐฯ มีมติเห็นชอบให้ประธานาธิบดีบุช มีอำนาจสั่งการกองทัพถล่มอิรัก และต่อมาได้ผ่านร่างงบประมาณกลาโหม ๓๓๕
,๑๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง ๓๗,๕๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ

๘พ.ย.๒๕๔๕ 
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ผ่านความเห็นชอบไม่เป็นเอกฉันท์ให้ออกมติ ๑๔๔๑ ปลดอาวุธอิรัก ให้คณะเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบอาวุธ ของสหประชาชาติ สามารถกลับเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ ในอิรักได้เป็นครั้งแรกในรอบ ๔ ปี หลังจากนั้นประมาณ ๒ สัปดาห์ รัฐบาล อิรักได้ส่งรายงานด้านอาวุธ ซึ่งมีความหนาถึง ๑๒
,๐๐๐ หน้า
๒๐ธ.ค๒๕๔๕ 
รัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาระบุว่า เอกสารที่อิรักส่งมอบให้สหประชาชาติเพื่อยืนยันถึงการยกเลิกโครงการพัฒนาอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงนั้น เต็มไปด้วยข้อมูลเท็จ ซึ่งถือเป็นการละเมิดมติของสหประชาชาติที่อาจเป็นเงื่อนไขทำให้สหรัฐฯเปิดฉากบุกโจมตีอิรักได้ พลเอก คอลิน เพาว์เวลล์ รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่าเอกสารของอิรัก ที่ส่งให้สหประชาชาติตรวจสอบนั้นเป็นการนำเอาข้อมูลเก่ามาเขียนใหม่ซึ่งถือเป็นการขัดต่อมติของคณะมนตรีความมั่นคงที่๑๔๔๑ อย่างชัดเจน แต่กระนั้นสหรัฐฯก็จะไม่ดำเนินการใดๆต่ออิรักในขณะนี้ พร้อมกับยืนยันว่า สหรัฐฯจะยังคงเปิดโอกาสให้คณะเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบอาวุธ ที่ปฏิบัติหน้าที่ในอิรัก ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ในการตรวจค้นและหาเบาะแสต่างๆ เกี่ยวกับโครงการลับทางทหารของอิรัก

๒๗ม.ค.๒๕๔๖
 
คณะเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบอาวุธ ซึ่งมีนาย ฮันส์ บลิกซ์ เป็นหัวหน้าแถลงผลการตรวจรายงานอาวุธของอิรักสรุปว่า อิรักต้องให้ความร่วมมือมากขึ้นเพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ชัดเจน วันรุ่งขึ้นเมื่อประธานาธิบดีบุชได้กล่าวสุนทรพจน์แถลงนโยบายประจำปีที่เรียกว่า
 State of the Union ประกาศว่า สหรัฐ ฯ พร้อมแล้วที่จะใช้กำลังปลดอาวุธอิรัก
๕ก.พ.๒๕๔๖ 
รมว.ต่างประเทศสหรัฐ ฯ แถลงต่อคณะมนตรีความมั่นคง ถึงสิ่งที่เขาระบุว่าเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ให้เห็นว่า อิรักกำลังซุกซ่อนอาวุธที่มีอานุภาพการทำลายล้างสูงและมีความสัมพันธ์กับเครือข่ายก่อการร้ายอัลไกดา

๑๔ก.พ.๒๕๔๖
 
คณะมนตรีความมั่นคง จัดประชุมครั้งสำคัญเพื่อรับฟังรายงานความคืบหน้าล่าสุด จากคณะเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบอาวุธ ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคง เรียกร้อง ให้มีการตรวจสอบอาวุธในอิรักต่อไป
๒๕ก.พ.๒๕๔๖ 
ประธานาธิบดีบุช กล่าวว่า อิรักยอมปลดอาวุธโดยไม่มีเงื่อนไขเท่านั้น จึงจะสามารถหลีกเลี่ยงสงครามได้ พร้อมทั้งจะผลักดันมติที่ ๒ เพื่อให้อำนาจในการใช้กำลังทหารต่ออิรัก ขณะนั้นในบริเวณอ่าวเปอร์เซีย มีทหารสหรัฐ ฯ จำนวน ๒๒๕
,๐๐๐ คน
๑๗มี.ค.๒๕๔๖ 
สหรัฐฯและอังกฤษประกาศตัดสินใจขั้นสุดท้าย โดยจะไม่ขอมติเพื่อใช้กำลังปลดอาวุธอิรักจากสหประชาชาติตามร่าง ฉบับที่ ๒ เพราะได้พิจารณาแล้วว่ามติของคณะมนตรีความมั่นคงที่ ๑๔๔๑ เพียงอย่างเดียว ก็สามารถนำไปเป็นข้ออ้างที่ใช้ในการบุกอิรักได้แล้วประธานาธิบดีบุช จึงยื่นคำขาดระบุให้ประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน พร้อมด้วยบุตรชายและคณะต้องออกจากอิรักภายใน ๔๘ชั่วโมง
มิฉะนั้นกองทัพสหรัฐฯและพันธมิตรจะบุกเข้าอิรัก เพื่อทำสงครามปลดปล่อยประเทศอิรักให้เป็นอิสระ จากกำลังอำนาจของประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน ส่วนประธานาบดี ซัดดัม ได้ตอบโต้ทันทีว่าจะไม่ยอมจำนน
๒๐มี.ค.๒๕๔๖ 
ประธานาธิบดีบุช ประกาศสงครามกับอิรักตามแผนยุทธการ "
Operation Iraqi Freedom" โดยก่อนหน้าที่จะประกาศสงคราม ๔๕ นาที สหรัฐฯได้ยิงขีปนาวุธ Tomahawk ประมาณ ๔๐ ลูก จากเรือรบในอ่าวเปอร์เซียและทะเลแดงพร้อมด้วย บ. F-117โจมตีทางอากาศต่อที่พักของประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน และบุตรชาย ในพื้นที่ชานเมืองตอนใต้ของกรุงแบกแดด แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า ประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน เสียชีวิต
สรุปสถานการณ์การสู้รบในอิรัก
ห้วงระยะเวลา๒๐มี.ค๒เม.ย๒๕๔๖

หลังจากประธานาธิบดีบุช ผู้นำสหรัฐ ฯ ได้ออกแถลงการณ์พร้อมกับยื่นคำขาดให้ประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน ผู้นำอิรัก ครอบครัวและแกนนำคนสำคัญอื่นๆ เดินทางออกนอกประเทศภายในเวลา ๔๘ ชั่วโมง เพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม เมื่อ ๑๘ มี.ค.๒๕๔๖ แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง การโจมตีอิรักตามแผนยุทธการ "
Operation Iraqi Freedom" ซึ่งเน้นการโจมตีทางอากาศอย่างหนักหน่วงรุนแรงเพื่อสังหารผู้นำอิรัก พร้อมกับทำลายระบบ C3ที่ตั้งทางทหารและที่ทำการของรัฐบาล โดยให้มีผลกระทบต่อพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานน้อยที่สุด ได้เริ่มขึ้นเมื่อ ๒๐ มี.ค.๒๕๔๖ เวลา ๐๙.๓๐ น. ก่อนถึงเวลาประกาศสงคราม ๔๕ นาที สหรัฐฯ ได้ยิงขีปนาวุธจาก บ.F-117ต่อที่พักของประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน ในพื้นที่ชานเมืองตอนใต้ของกรุงแบกแดด อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันว่า ประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แม้ว่าภายหลังจะปรากฏภาพการออกแถลงการณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์ซึ่งอาจเป็นเทปบันทึกภาพ 
การโจมตีของสหรัฐฯ ในห้วงเวลาต่อมาเป็นการโจมตีทางอากาศที่รุนแรงและต่อเนื่องต่อเป้าหมายหลายแห่งในพื้นที่ของอิรักด้วยขีปนาวุธ
 Tomahawk และ บ.F-117A, B-1, B-2, B-52 เมืองสำคัญที่เป็นเป้าหมายได้แก่ Mosul, Kirkuk และ Tikrit ด้านใต้ สหรัฐฯ ใช้กำลังทางบกบุกจากคูเวตเข้าตีเมืองUmm Qasr, Basrah และ Nasiriya แต่ถูก กกล. Republican Guard ของอิรักต้านอย่างรุนแรง สำหรับกกล.ส่วนหน้าสามารถคืบหน้าไปถึงเมือง Karbala ห่างจากกรุงแบกแดดประมาณ ๘๐ กิโลเมตร ด้านตะวันตก สหรัฐฯและพันธมิตรบุกจากชายแดนอิรักยึดสนามบิน H2 และ H3 ซึ่งห่างจากกรุงแบกแดด ๒๒๕ และ ๒๙๐ กม. ตามลำดับ และล่าสุด กองทัพสหรัฐฯได้ยึดเมืองมาร์มาราทางตะวันตกของกรุงแบกแดดไว้เรียบร้อยแล้ว และได้เคลื่อนกำลังมาตั้งมั่นห่างจากกรุงแบกแดดเพียง๔๘กม.เท่านั้น 
        อุปสรรคต่อการปฏิบัติการของสหรัฐ ฯ ที่สำคัญ ได้แก่ สภาพอากาศที่เลวร้ายจากพายุทะเลทราย การใช้ยุทธวิธีการรบแบบกองโจร และการตั้งรับในเมืองของอิรัก อีกทั้งอาจมีการรบกวนสัญญาณดาวเทียมทางทหารของสหรัฐฯ(Jammer) ทำให้การใช้อาวุธนำวิธีผิดพลาดเป้าหมาย และตกใส่ย่านชุมชน ในกรุงแบกแดด มีประชาชนเสียชีวิต

      ห้วงระยะเวลา๓-๙เม.ย.๒๕๔๖ 

แผนการสู้รบใหม่ได้ถูกกำหนดขึ้นโดย พล.อ.ทอมมี่ แฟรงค์ ผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งสามารถสั่งทหารบุกเข้ากรุงแบกแดดได้โดยไม่ต้องปรึกษา ประธานาธิบดีบุช หรือ นายโดนัลด์ รัมเฟลด์ รมว.กห.สหรัฐฯ ในวันที่ ๓ เม.ย. ๒๕๔๖ กำลังส่วนหน้าของ พล.ร.๓ สามารถเข้าเขตแนวป้องกันวงในของกรุงแบกแดด (
Red Zone) โดยห่างจากชานกรุงแบกแดดประมาณ ๓๐ กม. ฝ่ายอิรักยังคงใช้การปฏิบัติการจิตวิทยา เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ ของทหาร โดยสถานีโทรทัศน์ ของอิรักเผยแพร่ภาพประธานาธิบดี ซัดดัม เป็นประธานการประชุมครม. และผู้นำเหล่าทัพเพื่อแก้ข่าวลือที่ระบุว่าประธานาธิบดี ซัดดัม ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแล้ว ต่อมาสหรัฐฯ ได้เข้ายึดสนามบินนานาชาติซัดดัมหรือสนามบินแบกแดด ซึ่งอยู่ห่างจาก กรุงแบกแดดเพียง ๑๖ กม.ได้อย่างเบ็ดเสร็จในวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๔๖ และเปลี่ยนชื่อเป็นสนามบินนานาชาติแบกแดด ในช่วงเวลาต่อมาสหรัฐฯได้ใช้กำลังทางอากาศและภาคพื้นดินโจมตีเป้าหมายสำคัญในกรุงแบกแดดอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายสำคัญที่ทำเนียบประธานาธิบดีและกระทรวงสารสนเทศทำให้อิรักประสบการสูญเสียมากขึ้น
          หลังการโจมตีอิรักเป็นเวลาประมาณ ๓ สัปดาห์ ทหารสหรัฐฯ สามารถรุกเข้าถึงกรุงแบกแดดในทุกพื้นที่ ทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกของแม่น้ำไทกริส โดยเฉพาะบริเวณ Saddam City ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงแบกแดดซึ่งเป็นเขตที่มีประชากรหนาแน่น ที่สุด และในวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๖ นาย Mohammed Aldouri เอกอัครราชทูตอิรัก ประจำ สหประชาชาติ ยอมรับว่าการต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว โดยไม่สามารถติดต่อกับรัฐบาลอิรัก ที่กรุง แบกแดดได้ ประกอบกับการที่เอกอัครราชทูตอิรักในหลายประเทศ มีความสับสนเกี่ยวกับ สถานภาพของรัฐบาลอิรัก จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันว่ารัฐบาลประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน หมดอำนาจลงแล้ว










ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.do.rtaf.mi.th/index.php?option=com_content&view=article&id=37

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น