วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

เสวนาโครงการ "หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ปัจจุบัน"


งานเสวนาโครงการ  "หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ปัจจุบัน" โดยวิทยากรคือคุณวิกัลย์ พงศ์พนิตานนท์ หัวหน้าหอจดหมายเหตุศิริราชพยาบาล และคุณพิมพ์ฤทัย ชูแสงศรี บรรณาธิการบริหารนิตยสารลิซ

ณ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว








เนื่องด้วยในเดือนสิงหาคมนี้เป็นวาระครบ ๙๕ ปีแห่งวันอภิเษกสมรสของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพรรณี พระบรมราชินี และอีกทั้งในเดือนสิงหาคม ยังจัดเป็นเดือนวันสตรีไทยและแม่แห่งชาติอีกด้วย จึงทำให้ทางพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เห็นควรที่จะจัดโครงการสัมมนาเรื่อง "หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ปัจจุบัน"
เพศแม่เป็นสัญลักษณ์แห่งการให้กำเนิดและความอุดมสมบูรณ์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ในยุคคลาสสิกได้รับการยกย่องเป็นเทพีแห่งสงคราม เทพีแห่งการเยียวยา เทพีแห่งการล่าสัตว์ แม้แต่ในสังคมอินเดีย เทพีหลายองค์ทรงเป็นศักติ หรือ พลังของเทพเจ้าสำคัญจำนวนไม่น้อยตามความเชื่อหลายลัทธิ
ผู้หญิงได้รับการปฏิบัติแตกต่างกันออกไปทั้งในโลกตะวันตกและโลกตะวันออก ตามความเชื่อทางศาสนาและค่านิยมในสังคม แต่หลังจากผ่านหนาวมาจนถึงวัยอาวุโสสูงสุด สตรีเพศทั้งในสังคมจีนและอินเดีย อาจมีสถานภาพเป็นผู้ชี้ทางอนาคตของครอบครัวบนสถานภาพของการเป็น "ผู้รู้และผู้สืบทอดภูมิปัญญา" ทั้งในเรื่องความเป็นอยู่และพิธีกรรมของครอบครัว โดยมีศาสนาและความเชื่อเป็นสายธารเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม






ในสังคมไทย เมื่อประมาณ ๒๐๐ ปีเศษที่ผ่านมา พฤติกรรมของผู้หญิงตัวเล็กๆ หลายคน อาจส่งผลกระทบไปถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของกระบวนการยุติธรรม โดยรวมอย่างคาดไม่ถึงอาทิ ในกรณีของอำแดงป้อมผู้เป็นสาเหตุให้ร้อนถึงพระเนตร พระกรรณพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจนถึงกับต้องชำระพระราชบัญญัติ อันเป็นต้นเค้าของกฎหมายตราสามดวงในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์





ฎีกาที่  "ขัดฝืน"  ผู้หญิงที่น่าสงสารอย่าง "อำแดงเหมือน" ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงกับการส่งผลให้ประเพณีการคลุมถุงชนในสังคมไทยเสื่อมคลายภายใต้พระราชวินิจฉัยว่า "การแต่งกายของชายหญิงต้องเกิดจากความสมัครใจ"  อีกทั้งยังส่งผลให้มีการประกาศพระราชบัญญัติลักพา พ.ศ. ๒๔๐๘ และพระราชบัญญัติผัวขายเมีย พ.ศ.๒๔๑๐ อันเป็นการปูพื้นฐานสิทธิมนุษยชนและการเลิกทาสในรัชสมัยต่อมา ทำให้คำกล่าวที่ว่า"ผู้หญิงเป็นควาย ผู้ชายเป็นคน " ในอดีตเลือดหายไปจากความทรงจำของผู้คนในสังคม


ในยุคปลายสังคมจารีตสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่างของการยกย่องสถานภาพของสตรี ตามค่านิยมของ "สังคมผัวเดียวเมียเดียว"แบบตะวันตก โดยทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพรรณี  พระบรมราชินีแต่เพียงพระองค์เดียว พระราชจริยาวัตรนี้ส่งผลระดับหนึ่งต่อสถาบันครอบครัวในเวลาต่อมา แต่เป็นที่น่าแปลกในที่สังคมไทยแม้จะให้ความสำคัญต่อคำสาบาน  ดังพันธะที่มีต่อพระราชพิธีศรีสัจปานกาลมาแต่ครั้งอดีต  กลับไม่เคยแยแสต่อการสาบานว่าจะซื่อสัตย์ต่อคู่สมรสจนกว่าจะตายจากไป







ร่องรอยการให้  "เครดิต" แก่ผู้หญิงครั้งสำคัญที่สุดในยุคเปลี่ยนผ่านสู่สังคมประชาธิปไตย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ปรากฎในธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวฉบับแรก กำหนดให้ผู้หญิงไทยได้รับสิทธิทางการเมืองเท่าเทียมกับผู้ชาย ขณะที่สตรีหลายชาติทั้งในโลกตะวันตกที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจแล้ว กลับยังไม่ได้สิทธิดังกล่าว  ในขณะที่สังคมโลกตระหนักถึงสิทธิสตรี ทั้งรัฐไทยและสังคมไทยโดยรวม ทัศนะที่มีต่อผู้หญิงมีพัฒนาการอย่างไรบ้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๗ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมการเมือง นิติบัญญัติ และวัฒนธรรมส่งผลกระทบต่อบทบาทของผู้หญิงอย่างไร ปัจจัยเกื้อหนุนและบั่นทอนย้อนกลับต่อบทบาทของผู้หญิงอันเนื่องมาจากกฎหมายบางอย่าง และขอบเขตของการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงเกิดจากตัวแปรหลายอย่าง 
การอ้างความรักความหึงหวงแล้วแปรเปลี่ยนมาเป็นการทำร้ายคนเพศแม่อย่างโหดร้าย  การลดความสำคัญของสตรีหลังการแต่งงาน ทำให้ผู้หญิงขาดโอกาสทางเศรษฐกิจ ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม สิทธิทางการเมืองและการศึกษาก็ทำให้สตรีจำนวนไม่น้อยประสบความสำเร็จในวิชาชีพของตน ซึ่งโครงการสัมมนานี้ได้มีการเชื่อมโยงเกี่ยวกับเนื้อหานิทรรศการถาวรของพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นการเผยแพร่พระราชประวัติและพระราชกรณีกิจสำคัญในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว


                                                                                            รูปในงาน


























ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น