งานเสวนาโครงการ "หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ปัจจุบัน"
โดยวิทยากรคือคุณวิกัลย์ พงศ์พนิตานนท์ หัวหน้าหอจดหมายเหตุศิริราชพยาบาล
และคุณพิมพ์ฤทัย ชูแสงศรี บรรณาธิการบริหารนิตยสารลิซ
ณ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
เนื่องด้วยในเดือนสิงหาคมนี้เป็นวาระครบ
๙๕ ปีแห่งวันอภิเษกสมรสของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพรรณี พระบรมราชินี และอีกทั้งในเดือนสิงหาคม
ยังจัดเป็นเดือนวันสตรีไทยและแม่แห่งชาติอีกด้วย
จึงทำให้ทางพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้เห็นควรที่จะจัดโครงการสัมมนาเรื่อง "หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ปัจจุบัน"
เพศแม่เป็นสัญลักษณ์แห่งการให้กำเนิดและความอุดมสมบูรณ์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
ในยุคคลาสสิกได้รับการยกย่องเป็นเทพีแห่งสงคราม เทพีแห่งการเยียวยา
เทพีแห่งการล่าสัตว์ แม้แต่ในสังคมอินเดีย เทพีหลายองค์ทรงเป็นศักติ หรือ
พลังของเทพเจ้าสำคัญจำนวนไม่น้อยตามความเชื่อหลายลัทธิ
ผู้หญิงได้รับการปฏิบัติแตกต่างกันออกไปทั้งในโลกตะวันตกและโลกตะวันออก
ตามความเชื่อทางศาสนาและค่านิยมในสังคม แต่หลังจากผ่านหนาวมาจนถึงวัยอาวุโสสูงสุด
สตรีเพศทั้งในสังคมจีนและอินเดีย อาจมีสถานภาพเป็นผู้ชี้ทางอนาคตของครอบครัวบนสถานภาพของการเป็น "ผู้รู้และผู้สืบทอดภูมิปัญญา" ทั้งในเรื่องความเป็นอยู่และพิธีกรรมของครอบครัว
โดยมีศาสนาและความเชื่อเป็นสายธารเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม
ในสังคมไทย
เมื่อประมาณ ๒๐๐ ปีเศษที่ผ่านมา พฤติกรรมของผู้หญิงตัวเล็กๆ หลายคน อาจส่งผลกระทบไปถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของกระบวนการยุติธรรม
โดยรวมอย่างคาดไม่ถึงอาทิ ในกรณีของอำแดงป้อมผู้เป็นสาเหตุให้ร้อนถึงพระเนตร
พระกรรณพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจนถึงกับต้องชำระพระราชบัญญัติ
อันเป็นต้นเค้าของกฎหมายตราสามดวงในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ฎีกาที่ "ขัดฝืน" ผู้หญิงที่น่าสงสารอย่าง "อำแดงเหมือน" ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ถึงกับการส่งผลให้ประเพณีการคลุมถุงชนในสังคมไทยเสื่อมคลายภายใต้พระราชวินิจฉัยว่า "การแต่งกายของชายหญิงต้องเกิดจากความสมัครใจ" อีกทั้งยังส่งผลให้มีการประกาศพระราชบัญญัติลักพา พ.ศ. ๒๔๐๘
และพระราชบัญญัติผัวขายเมีย พ.ศ.๒๔๑๐
อันเป็นการปูพื้นฐานสิทธิมนุษยชนและการเลิกทาสในรัชสมัยต่อมา ทำให้คำกล่าวที่ว่า"ผู้หญิงเป็นควาย ผู้ชายเป็นคน " ในอดีตเลือดหายไปจากความทรงจำของผู้คนในสังคม
ในยุคปลายสังคมจารีตสมบูรณาญาสิทธิราชย์
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่างของการยกย่องสถานภาพของสตรี
ตามค่านิยมของ "สังคมผัวเดียวเมียเดียว"แบบตะวันตก
โดยทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพรรณี
พระบรมราชินีแต่เพียงพระองค์เดียว พระราชจริยาวัตรนี้ส่งผลระดับหนึ่งต่อสถาบันครอบครัวในเวลาต่อมา
แต่เป็นที่น่าแปลกในที่สังคมไทยแม้จะให้ความสำคัญต่อคำสาบาน
ดังพันธะที่มีต่อพระราชพิธีศรีสัจปานกาลมาแต่ครั้งอดีต
กลับไม่เคยแยแสต่อการสาบานว่าจะซื่อสัตย์ต่อคู่สมรสจนกว่าจะตายจากไป
ร่องรอยการให้
"เครดิต" แก่ผู้หญิงครั้งสำคัญที่สุดในยุคเปลี่ยนผ่านสู่สังคมประชาธิปไตย
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ปรากฎในธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวฉบับแรก
กำหนดให้ผู้หญิงไทยได้รับสิทธิทางการเมืองเท่าเทียมกับผู้ชาย
ขณะที่สตรีหลายชาติทั้งในโลกตะวันตกที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจแล้ว กลับยังไม่ได้สิทธิดังกล่าว ในขณะที่สังคมโลกตระหนักถึงสิทธิสตรี
ทั้งรัฐไทยและสังคมไทยโดยรวม
ทัศนะที่มีต่อผู้หญิงมีพัฒนาการอย่างไรบ้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๗
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมการเมือง นิติบัญญัติ
และวัฒนธรรมส่งผลกระทบต่อบทบาทของผู้หญิงอย่างไร ปัจจัยเกื้อหนุนและบั่นทอนย้อนกลับต่อบทบาทของผู้หญิงอันเนื่องมาจากกฎหมายบางอย่าง
และขอบเขตของการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงเกิดจากตัวแปรหลายอย่าง
การอ้างความรักความหึงหวงแล้วแปรเปลี่ยนมาเป็นการทำร้ายคนเพศแม่อย่างโหดร้าย
การลดความสำคัญของสตรีหลังการแต่งงาน ทำให้ผู้หญิงขาดโอกาสทางเศรษฐกิจ
ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม
สิทธิทางการเมืองและการศึกษาก็ทำให้สตรีจำนวนไม่น้อยประสบความสำเร็จในวิชาชีพของตน
ซึ่งโครงการสัมมนานี้ได้มีการเชื่อมโยงเกี่ยวกับเนื้อหานิทรรศการถาวรของพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
เพื่อเป็นการเผยแพร่พระราชประวัติและพระราชกรณีกิจสำคัญในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรูปในงาน
![]() |
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น